เมื่อโควิดกลับมาแผลงฤทธิ์อีกครั้ง หลายคนเลยต้องทำงานอยู่บ้านไม่ได้ไปไหน วันทำงานก็ต้องเฝ้าจอไม่ห่าง วันหยุดก็ทำได้แค่นอนดูซีรีส์ เล่นมือถือ ไม่ใช่เรื่องแปลกหากอาการปวดเมื่อยจะถามหา น่าเศร้าที่เรายังไม่อาจกลับไปพึ่งที่พักกายของชาวออฟฟิศอย่างร้านนวดเจ้าประจำได้ จนเห็นใครๆ โอดครวญคิดถึงร้านนวดกันเป็นแถวๆ
Healthy Living เลยชวนหมอแนนด์ - พท.ป.พรลดา มูลเจริญพร และ หมอเมจิ - พท.ศรวรีย์ สุวรรณเวลา แพทย์แผนไทยประจำคลินิกอภัยเวลเนส คลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ด้วยศาสตร์สมุนไพรอภัยภูเบศร มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับศาสตร์คลายเมื่อยไทย เพื่อเยียวยาตัวเองในช่วงเวลานี้ไปพลาง และเมื่อถึงเวลาคลายล็อกดาวน์ ทุกคนจะได้เลือกวิธีแก้ปวดได้อย่างตรงจุด ตรงใจ คลายความปวดร้าวที่สะสมมานานให้หายเป็นปลิดทิ้ง
เข้าใจความหลากหลายของศาสตร์คลายเมื่อยไทย
“หลายคนเข้าใจว่าถ้าอยากหายเมื่อยก็ต้องไปนวดอย่างเดียว แต่ความจริง ศาสตร์การรักษาอาการปวดเมื่อยของไทยนั้นแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือการนวด และหัตถศาสตร์หรือการกดจุด ซึ่งแพทย์แผนไทยอย่างเราจะไม่ใช่วิธีการนวด แต่จะกดจุดเพื่อรักษา”
หมอแนนด์อธิบายให้ฟังแบบละเอียดขึ้นว่า การนวดหมายถึงการคลึง ดีด ดัด ตบกล้ามเนื้อ เป็นการกระตุ้นกล้ามเนื้อชั้นนอกที่หดเกร็งให้คลายตัว วิธีนี้มีความคล้ายคลึงกับหลักการนวดทั่วโลก เช่น การนวดสวีดิช นวดอโรม่าเธอราปี รวมไปถึงการทำสปา แต่ทั้งหมดนี้จะช่วยสร้างความผ่อนคลายได้แค่ระยะหนึ่ง โอกาสกลับมาปวดเมื่อยอีกครั้งจึงเกิดขึ้นได้เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก
ส่วนการกดจุด จะเป็นการใช้นิ้วกดไปยังบริเวณเฉพาะจุดของร่างกายเพื่อหยุดการไหลเวียนของเลือด เมื่อปล่อยมือเลือดจึงไหลมาเลี้ยงส่วนที่กดไว้ ทำให้เกิดการคลายตัวของกล้ามเนื้อ ซึ่งการกดจุดสามารถกระตุ้นไปได้ถึงกล้ามเนื้อมัดเล็ก และสามารถเลือกกดไปยังบริเวณต้นตอของความปวดเมื่อยได้ ทำให้คลายอาการปวดเมื่อยได้ดีกว่า และมีโอกาสหายสนิท
การกดจุดเองยังแบ่งได้เป็นอีก 2 รูปแบบ นั่นคือแบบเชลยศักดิ์ ซึ่งเป็นการแก้ปวดตามตำราหมอชาวบ้าน โดยใช้ศอกกดจุด ใช้เท้าเหยียบ หรือมีการดึงดัดร่างกายร่วมด้วย ส่วนแบบที่สองคือแบบราชสำนัก ในอดีตใช้รักษาคนชนชั้นสูง ใช้เพียงแค่นิ้วโป้ง ไม่มีการเหยียบหรือดึง จึงสุภาพเรียบร้อยมากกว่า
“การกดจุดแบบราชสำนักมีโอกาสบาดเจ็บน้อยกว่ามาก เพราะเวลาใช้ศอกนวดมันกะยากว่าจะเอาจุดแหลมหรือจุดป้านลง หรือหากดึงดัดมากเกินไปก็อาจเป็นอันตรายต่อกล้ามเนื้ออีก กลับกันถ้าเราใช้มือ เราจะกะทิศทางได้ว่าจะไปแนวตรง แนวเฉียง หรือจะนวดชิดกระดูก แล้วเรายังบังคับรสมือได้ด้วยว่าจะกดเบาหรือแรง หลังนวดเสร็จกล้ามเนื้อจึงไม่ระบมมาก” หมอเมจิเสริม
ใช้ชีวิตแบบมนุษย์ออฟฟิศยุคใหม่ ทำให้เราปวดเมื่อยกันมากขึ้น
คุณหมอเล่าว่าอาการปวดเมื่อยที่เจอบ่อยในช่วงที่ผ่านมาเกิดจากการใช้ชีวิตที่ไม่ใส่ใจ ทั้งการทำงานหักโหมจนไม่ได้ขยับ จ้องจอนาน หรือแม้กระทั่งการขับรถฝ่ารถติดไปทำงาน กิจกรรมเหล่านี้เหมือนการบังคับกลายๆ ให้เราอยู่ในอิริยาบถเดิมหลายชั่วโมง จนกล้ามเนื้อหดเกร็งไม่เป็นธรรมชาติ
“นอกจากนี้ความเครียดก็มีผลต่อการหดเกร็งของกล้ามเนื้อเหมือนกัน ถ้าอธิบายตามหลักแพทย์แผนปัจจุบันคือ พอเราเครียด สมองจะส่งสารที่ทำให้หลอดเลือดหดตัวจนกล้ามเนื้อหดเกร็งตาม ซึ่งแพทย์แผนไทยจะมองว่านี่คือการทำงานของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ในร่างกาย ลม คือเลือดที่ไหลเวียนอยู่ ความเครียดจะไปกระทบธาตุลมที่อยู่ตามเส้นเลือด เมื่อลมผิดปกติ จึงเกิดอาการปวดเมื่อยขึ้นมา” หมอเมจิอธิบายให้เข้าใจเพิ่มมากขึ้น
ตามหาธาตุเจ้าเรือนของตัวเอง เพื่อรักษาให้ตรงจุด
“ถ้าเริ่มปวดจนมีอาการร้าว เช่น ปวดมือร้าวไปถึงไหล่ หรือปวดหัวร้าวมาถึงแขน ลงไปถึงขา ทำยังไงก็ไม่หาย แนะนำให้มาหาแพทย์แผนไทยเลย เพราะเราจะหาสาเหตุได้ตรงจุดว่าอาการปวดนี้เกิดจากกล้ามเนื้อมัดไหน” หมอเมจิแนะนำ
เมื่อมาหาหมอ สิ่งแรกที่คุณหมอจะทำคือการตีธาตุ ซักถามเรื่องสุขภาพเพื่อวิเคราะห์หา ‘ธาตุเจ้าเรือน’ หรือธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในตัว ซึ่งเราทุกคนจะมีธาตุที่โดดเด่นที่สุดติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด สิ่งนี้สามารถตีได้คร่าวๆ จากรูปพรรณภายนอกและวันเดือนปีเกิด แต่เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตอาจส่งผลให้ธาตุในตัวเปลี่ยน การหาธาตุที่ถูกต้องจะส่งผลไปถึงวิธีการรักษาตลอดกระบวนการ
“การรักษาผู้ป่วยแต่ละคนจะต่างกันไป เพราะบางคนเป็นคนผิวร้อน ธาตุไฟแรง ถ้าเรากดจุดโดยไม่รู้ว่าเขาเป็นธาตุอะไร กดจนเพิ่มธาตุลมเข้าไปเยอะๆ ความร้อนในร่างกายจะหายหมด ส่งผลให้ระบบภายในรวน คราวนี้หายเมื่อยก็จริงแต่ระบบย่อยอาหารอาจทำงานไม่ดี หรือคนธาตุลม เราจะกดจุดไปเรื่อยๆ โดยไม่หยุดไม่ได้ ต้องกดเนิบนาบ กดแล้วพัก ไม่อย่างนั้นเลือดจะไหลเวียนเร็วเกินไป ร่างกายจะยิ่งร้อน จนเกิดอาการอักเสบหลังกดจุดได้” หมอแนนด์อธิบาย
เมื่อกดจุดเสร็จแล้วจะมีการวัด pain score หรือความเจ็บปวดก่อนนวดและหลังนวด รวมทั้งตรวจเช็กความสามารถในการเคลื่อนไหว โดยคุณหมอแนะนำว่าควรมากดจุดอย่างต่อเนื่อง 3-5 ครั้ง อาการจะเริ่มหายเป็นปกติ แต่ก็มีบางกรณี เช่นในผู้ป่วยโรคเก๊าต์ รูมาตอยด์ ข้ออักเสบ ที่การกดจุดทำได้เพียงเยียวยาให้หายปวดชั่วคราว ผู้ป่วยจึงต้องรับการรักษาควบคู่ไปกับแพทย์แผนปัจจุบันด้วย
ตรวจเช็กสภาพร่างกายให้พร้อมก่อนคลายเมื่อย
แม้การกดจุดจะเป็นการรักษาอาการปวดเมื่อยแบบตรงจุด แต่ก็ไม่ใช่ผู้ป่วยทุกรายที่คุณหมอแนะนำให้มารักษา ผู้ป่วยที่มีประจำเดือน มีค่าความดันสูง และเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูก มีโอกาสที่จะได้รับอันตรายจากการกดจุด เนื่องจากการกดจุดอาจไปเพิ่มแรงดันเลือด ทำให้เกิดอาการหน้ามืด วิงเวียนได้ หรือหากกดจุดแรงเกินไปอาจส่งผลให้กล้ามเนื้ออักเสบรุนแรง แต่ในกรณีที่ตรวจร่างกายแล้วยังไหว คุณหมอจะใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็นพอกผิว ช่วยลดความร้อนจากการอักเสบยามนวดอีกที
ไม่เพียงแค่รักษา แต่ยังเพิ่มคุณภาพชีวิตแบบเป็นองค์รวม
“จริงๆ แล้วการกดจุดไม่ได้รักษาแค่อาการปวดเมื่อยเท่านั้น แต่ยังสามารถลดการปวดไมเกรน คอตกหมอน ไหล่บิด อาการไม่อยากอาหาร หรือแม้แต่อาการนอนไม่หลับ เพราะการกดจุดเป็นการปรับระบบไหลเวียนเลือด เราจึงสามารถเลือกจุดที่อยากรักษาได้โดยตรง เกิดตรงไหนก็ไปแก้ตรงนั้น” หมอเมจิเล่าก่อนจะบอกว่า ที่สามารถรักษาได้อย่างรอบด้านเป็นเพราะศาสตร์แพทย์แผนไทยเชื่อว่าการรักษาสุขภาพเป็นเรื่ององค์รวม ซึ่งประกอบไปด้วยการทำให้กาย จิต และสังคมดีขึ้นพร้อมๆ กัน
“สังคมคือบริบทรอบตัว เพื่อน ที่อยู่อาศัย สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อสภาพจิตใจ ถ้าจิตใจแข็งแรง กายก็จะแข็งแรงตาม หรือถ้ากายป่วย จิตก็อาจจะป่วยตามไปด้วย ทุกอย่างสัมพันธ์กันหมด อย่างการนอนไม่หลับ สมมติผู้ป่วยนอนในห้องมืดสนิท ไม่มีสิ่งรบกวน แสดงว่าสังคมดีแล้ว ก็อาจจะเป็นกายที่ปวดเมื่อยจนนอนไม่สบาย นอนน้อยจิตใจก็ห่อเหี่ยว พอเราแก้ให้กายหายเจ็บ ใจก็จะดีขึ้น ทีนี้ก็จะหลับสบาย
“เมื่อกดจุดเสร็จเราจะปรุงยาสมุนไพรให้เฉพาะคน มีชาที่แนะนำให้ทาน และมีการใช้กลิ่นอโรม่าช่วยเพิ่มความผ่อนคลาย นอกจากนี้เราจะแนะนำไปถึงวิธีการกิน การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับธาตุของแต่ละคน เพื่อสร้างชีวิตที่ดีอย่างเป็นองค์รวมจริงๆ” หมอแนนด์เสริม
กินดี อยู่ดี นอนดี แค่นี้ก็มีสุขภาพดีได้แล้ว
คุณหมอบอกว่าในช่วงที่ต้องอยู่บ้านยาวๆ แบบนี้ การดูแลตัวเองให้ดีอย่างรอบด้านสามารถช่วยลดอาการปวดเมื่อยและป่วยไข้ได้เช่นกัน เบื้องต้นลองไปตามหาธาตุเจ้าเรือนของตัวเองแบบง่ายๆ ได้ที่ https://lifestyle.campus-star.com
เมื่อได้คำตอบแล้ว คุณหมอแนะนำให้เริ่มต้นจากการกินให้ดีและเหมาะสมสำหรับคนแต่ละธาตุ
การกินอาหารตามธาตุไม่จำเป็นต้องกินทุกวัน ทุกมื้อ แต่เลือกกินวันละนิดละหน่อย พร้อมหลีกเลี่ยงของทอดของมัน เพราะทำให้ไขมันในเลือดสูง ส่งผลให้ไหลเวียนของเลือดผิดปกติ เมื่อปรับการกินให้ดีขึ้น เราก็จะสามารถปรับธาตุเจ้าเรือนปัจจุบันให้กลับไปเป็นธาตุเจ้าเรือนแต่กำเนิดได้ เป็นเหมือนการกลับไปยังฐานของร่างกาย ทำให้ระบบภายในทำงานได้อย่างสมบูรณ์
นอกจากนี้ คุณหมอยังแนะนำว่าหากต้องนั่งทำงานกันยาวๆ ก็ควรหากลิ่นหอมที่ชอบมาช่วยผ่อนคลายให้หายเครียด นั่งให้ได้ตั้งฉาก 90 องศา มือและคีย์บอร์ดอยู่ในระดับพอดีกัน เมื่อทำงานครบ 30 นาที ก็ควรยืดเหยียดร่างกายสม่ำเสมอ และอย่าลืมดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 2-3 ลิตรต่อวัน
“กินให้ดี นอนให้หลับ ขับถ่ายให้ได้ทุกวัน เพียงเท่านี้เราก็สามารถสร้างสุขภาพที่ดีแบบเป็นองค์รวมได้ไม่ยาก” หมอเมจิกล่าว
คลายจุดปวดเมื่อยยอดฮิต ด้วยท่ายืดเหยียดแผนไทยที่ทำเองที่บ้านได้
เมื่อทำงานกันจนไม่ได้ขยับ คุณหมอเลยขอแนะนำท่ายืดเหยียดคลายเมื่อย สำหรับมนุษย์ออฟฟิศที่ต้องย้ายมานั่งติดเก้าอี้ที่บ้าน ลองทำกันดูง่ายๆ ใช้เวลาทุกๆ 30 นาที ป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อเกร็งยาวเกินไป จนกลายเป็นอาการปวดรุนแรงเรื้อรังในอนาคต
ท่าเหล่านี้ถือเป็นท่าเบื้องต้นสามารถทำได้เป็นประจำหากเกิดอาการปวดตึง ใครจะเลือกทำเฉพาะบริเวณที่ปวดเป็นพิเศษก็ได้ หรือจะทำครบเซ็ตทุกท่าก็ยิ่งดี แต่ถ้าทำแล้วอาการปวดไม่ขึ้นเลย ก็ควรไปให้คุณหมอทำการตรวจหาต้นตอจะดีกว่านะ
1. ท่าแก้ปวดบ่าร้าวลงหลัง จากการนั่งทำงานไม่ลุก
หลายครั้งที่เราทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่ก็ติดพันมากเกินไปจนร่างกายไม่ได้ขยับหลายชั่วโมงติดต่อกัน การนั่งอยู่ในท่าเดิมนานๆ เพื่อขีดเขียนหรือพิมพ์งานแบบนี้ ส่งผลให้ร่างกายหดเกร็งในท่าผิดธรรมชาติ จนทำให้ปวดเมื่อยได้ไม่ยาก
หากเกิดอาการปวดบ่าไหลจนเริ่มร้าวไปถึงหลัง คุณหมอแนะนำให้ทำท่ายืดเหยียด ด้วยการประสานมือแล้วเหยียดแขนให้ตึงไปด้านหน้า ยืดขึ้นด้านบน แล้วเก็บมือไพล่หลัง กล้ามเนื้อไหล่และแขนที่เคยหดเกร็งจากการอยู่ในท่าพิมพ์งาน ก็จะค่อยๆ รู้สึกผ่อนคลายลง ที่สำคัญ ท่านี้ควรลุกมาทำทุกๆ 30 นาทีถึงจะเห็นผล และก็ช่วยเตือนให้เราลุกจากการนั่งทำงานจมจ่อมได้ด้วย
2. ท่าแก้ปวดคอร้าวขึ้นหัว เพราะท่านั่งพัง
อันตรายจากการนั่งแบบผิดๆ ส่งผลให้หน้าของเราอยู่ในท่าก้มต่ำหรือเงยสูงมากเกินไปยามจ้องจอ แม้นั่งไปนานๆ อาจเกิดความเคยชิน ไม่ได้รู้สึกผิดปกติอะไร แต่รู้ตัวอีกทีนี่อาจเป็นสาเหตุของการปวดคอเรื้อรังได้
การยืดเหยียดกล้ามเนื้อคอถือเป็นตัวช่วยที่ดีก่อนร่างกายจะประท้วงด้วยการปวดหัวหนัก เพียงแค่วางมือข้างหนึ่งไว้บนหัว อีกข้างไว้บนไหล่ แล้วบิดหัวให้ก้มเอียง 45 องศาจนรู้สึกคอตึง สลับข้างกันประมาณ 10-15 นาที จะช่วยคลายกล้ามเนื้อคอที่เกร็งนานๆ ได้ และเมื่อหายปวดแล้วอย่าลืมจัดโต๊ะให้สายตาเราอยู่ในระดับเดียวกับคอมพิวเตอร์พอดีด้วยล่ะ
3. ท่าแก้ปวดต้นคอ เพราะเผลอยื่นคอจ้องจอนาน
ลักษณะอาการปวดคอแบบนี้ มีสาเหตุคล้ายคลึงกับข้อก่อนหน้า แม้จะบอกว่าไม่ได้ก้มหรือเงยเพื่อจ้องจอ แต่บางครั้งการพยายามเพ่งมองคอมพิวเตอร์เป็นเวลาหลายชั่วโมงติดกัน ก็อาจทำให้เราเผลอยื่นหรือเกร็งคอมากไปโดยไม่ได้ตั้งใจได้
การใช้นิ้วโป้งไล่นวดบริเวณคอ จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่เกร็งเป็นเวลานานได้ คุณหมอเพิ่มเติมว่าควรหลีกเลี่ยงการใช้มือไล่บีบไปเรื่อยๆ เหมือนที่หลายคนชอบทำ เพราะที่คอมีเส้นประสาท เมื่อบีบมั่วๆ อาจพลาดไปโดนเส้นประสาทจนทำให้เป็นอันตรายได้ การใช้นิ้วโป้งกดจุดจึงปลอดภัย ตรงจุดพอดี และกะน้ำหนักได้ง่ายกว่า
4. ท่าแก้ปวดข้อมือและแขนท่อนล่างจากการใช้คีย์บอร์ดและเมาส์
การงอข้อมือเพื่อพิมพ์คีย์บอร์ด จับเมาส์ รวมถึงการเล่นมือถือ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณข้อมือและท่อนแขนหดเกร็งจนเกิดอาการปวดอยู่บ่อยๆ หลายครั้งที่เรามักละเลย และปล่อยทิ้งไว้จนทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยเรื้อรัง
หากเริ่มรู้ตัวว่าใช้มือนานเกินไปแล้ว ควรพักด้วยการพนมมือแล้วดันข้อมือซ้ายขวาสลับไปมา ทำให้สุดจนรู้สึกตึงบริเวณข้อมือถึงแขน เมื่อทำอย่างต่อเนื้อสลับกันไปประมาณ 10-15 นาที จะช่วยคลายกล้ามเนื้อบริเวณแขนที่เกร็งจากการพิมพ์งานนานๆ ได้
5. ปิดท้ายด้วยลูกประคบหรือผ้าชุบน้ำร้อน
เมื่อยืดเหยียดเสร็จแล้ว หากมีเวลาเหลือให้นำลูกประคบ หรือผ้าชุบน้ำร้อนบิดหมาดประคบบริเวณที่เพิ่งยืดเหยียดเสร็จ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น แต่หากยืดเหยียดแล้วเกิดอาการอักเสบ แสบร้อน ผิวหนังบวมแดง หรือบริเวณนั้นมีแผลหรือเลือดออกอยู่ก่อน ก็ควรรอให้หายดีสักพัก เก็บไว้ประคบคราวหน้า เพราะหากทำทันทีอาจไปกระตุ้นการอักเสบให้รุนแรงมากขึ้นได้